ความเจริญด้านการเมืองการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย
การปกครองของอาณาจักรสุโขทัยเป็นการปกครองแบบดั้งเดิม ซึ่งใช้กันมาเป็นเวลานาน ประชาชนให้การเคารพนับถือพระเจ้าแผ่นดินประดุจบุตรที่ให้การเคารพต่อบิดาของตน เนื่องจาก พระเจ้าแผ่นดินมีความใกล้ชิด มีความเป็นกันเองกับประชาชน หากประชาชนมีความเดือดร้อน สามารถที่จะกราบบังคมทูลได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
การปกครองของอาณาจักรสุโขทัยเป็นการปกครองแบบดั้งเดิม ซึ่งใช้กันมาเป็นเวลานาน ประชาชนให้การเคารพนับถือพระเจ้าแผ่นดินประดุจบุตรที่ให้การเคารพต่อบิดาของตน เนื่องจาก พระเจ้าแผ่นดินมีความใกล้ชิด มีความเป็นกันเองกับประชาชน หากประชาชนมีความเดือดร้อน สามารถที่จะกราบบังคมทูลได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
อาณาจักรสุโขทัยมีลักษณะการปกครอง ดังนี้
1. การปกครองแบบพ่อปกครองลูก หรือปิตุราชาธิปไตย* ลักษณะการปกครองแบบนี้ถือว่าบิดาเป็นผู้ปกครองครัวเรือนหลายๆ ครัวเรือนรวมกันเป็นบ้านอยู่ในการปกครองของพ่อบ้าน ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง เรียกว่า ลูกบ้าน หลายๆ บ้านรวมกันเป็นเมือง ซึ่งเมืองจะขึ้นอยู่กับการปกครองของเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า “พ่อขุน” การปกครองแบบพ่อปกครองลูกเริ่มใช้ในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหง เนื่องจากอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยระยะแรกมีอาณาเขตไม่กว้างใหญ่นัก ประชาชนมีจำนวนน้อย พระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิดโดยไม่ถือพระองค์ ไม่ถืออำนาจ ให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎร ตลอดจนให้การอบรมสั่งสอน ข้าราชบริพาร และประชาชนด้วยความเมตตากรุณา จึงทำให้พระมหากษัตริย์และประชาชนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด กษัตริย์และประชาชนอยู่ในฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน เป็นผู้นำในยามศึกสงคราม หากยามสงบพระองค์ทรงเป็นที่ปรึกษาของประชาชนดังข้อความที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า
1. การปกครองแบบพ่อปกครองลูก หรือปิตุราชาธิปไตย* ลักษณะการปกครองแบบนี้ถือว่าบิดาเป็นผู้ปกครองครัวเรือนหลายๆ ครัวเรือนรวมกันเป็นบ้านอยู่ในการปกครองของพ่อบ้าน ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง เรียกว่า ลูกบ้าน หลายๆ บ้านรวมกันเป็นเมือง ซึ่งเมืองจะขึ้นอยู่กับการปกครองของเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า “พ่อขุน” การปกครองแบบพ่อปกครองลูกเริ่มใช้ในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหง เนื่องจากอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยระยะแรกมีอาณาเขตไม่กว้างใหญ่นัก ประชาชนมีจำนวนน้อย พระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิดโดยไม่ถือพระองค์ ไม่ถืออำนาจ ให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎร ตลอดจนให้การอบรมสั่งสอน ข้าราชบริพาร และประชาชนด้วยความเมตตากรุณา จึงทำให้พระมหากษัตริย์และประชาชนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด กษัตริย์และประชาชนอยู่ในฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน เป็นผู้นำในยามศึกสงคราม หากยามสงบพระองค์ทรงเป็นที่ปรึกษาของประชาชนดังข้อความที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า
“...ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั่น
ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้าน กลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ
มันจักกล่าวถึง เจ้าถึง ขุน บ่ ไว้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ ...”
ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้าน กลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ
มันจักกล่าวถึง เจ้าถึง ขุน บ่ ไว้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ ...”
2. การปกครองแบบธรรมราชา เป็นการปกครองที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา โดยผู้ปกครองที่ประชาชนพอใจ มีคุณธรรมสูง สามารถที่จะใช้ธรรมะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคมที่มีอยู่ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง เชื่อกันว่า พระมหากษัตริย์ที่ดีปกครองอาณาประชาราษฎร ได้ร่มเย็นเป็นสุข บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรือง จะต้องทรงไว้ซึ่งหลักธรรมได้แก่ ทศพิธราชธรรม* จักรวรรดิวัตร 12 ประการ** ราชจรรยานุวัตร 4 ประการ******
การปกครองพระราชอาณาเขต
พระราชอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยระยะแรกๆ ไม่กว้างขวางมากนัก พอมาถึงสมัยของพ่อขุนรามคำแหง พระราชอาณาเขตได้ขยายกว้างขวางมาก การปกครองพระราชอาณาเขตในสมัยนั้นแบ่งได้ ดังนี้
1. เมืองหลวงหรือราชธานี เป็นศูนย์กลางการปกครอง การค้า และใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์
2. หัวเมืองชั้นในหรือเมืองลูกหลวง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เมืองหน้าด่าน” เป็นเมืองที่อยู่รายรอบกรุงสุโขทัย 4 ด้านได้แก่
ทิศเหนือ เมืองศรีสัชนาลัย เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากที่สุด มีพระมหาอุปราชเป็น
ผู้ปกครอง
ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตร)
ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก)
ทิศตะวันตก เมืองนครชุม (กำแพงเพชร)
แต่ละเมืองอยู่ห่างจากเมืองหลวงมีระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร เดินทางด้วยเท้าเปล่าไปถึงกัน ประมาณ 2 วัน ห่างกันทุกเมืองพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง พระราชโอรสหรือราชวงศ์ชั้นสูงไปปกครอง มีอำนาจในการบริหารภายในเมืองค่อนข้างมาก
นอกจากนั้นเมืองลูกหลวงยังมีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ หากมีข้าศึกเข้ามาประชิดอาณาจักรสุโขทัย เมืองลูกหลวงจะเป็นเกราะป้องกันราชธานีไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้ข้าศึกไม่สามารถเข้าถึงเมืองหลวงได้ทันที
พระราชอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยระยะแรกๆ ไม่กว้างขวางมากนัก พอมาถึงสมัยของพ่อขุนรามคำแหง พระราชอาณาเขตได้ขยายกว้างขวางมาก การปกครองพระราชอาณาเขตในสมัยนั้นแบ่งได้ ดังนี้
1. เมืองหลวงหรือราชธานี เป็นศูนย์กลางการปกครอง การค้า และใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์
2. หัวเมืองชั้นในหรือเมืองลูกหลวง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เมืองหน้าด่าน” เป็นเมืองที่อยู่รายรอบกรุงสุโขทัย 4 ด้านได้แก่
ทิศเหนือ เมืองศรีสัชนาลัย เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากที่สุด มีพระมหาอุปราชเป็น
ผู้ปกครอง
ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตร)
ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก)
ทิศตะวันตก เมืองนครชุม (กำแพงเพชร)
แต่ละเมืองอยู่ห่างจากเมืองหลวงมีระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร เดินทางด้วยเท้าเปล่าไปถึงกัน ประมาณ 2 วัน ห่างกันทุกเมืองพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง พระราชโอรสหรือราชวงศ์ชั้นสูงไปปกครอง มีอำนาจในการบริหารภายในเมืองค่อนข้างมาก
นอกจากนั้นเมืองลูกหลวงยังมีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ หากมีข้าศึกเข้ามาประชิดอาณาจักรสุโขทัย เมืองลูกหลวงจะเป็นเกราะป้องกันราชธานีไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้ข้าศึกไม่สามารถเข้าถึงเมืองหลวงได้ทันที
แผนภูมิแสดงเมืองลูกหลวงของอาณาจักรสุโขทัย
3. หัวเมืองชั้นนอก (เมืองพระยามหานคร) เป็นหัวเมืองที่อยู่ห่างจากราชธานีออกไป เมืองพระยามหานครมีเมืองในปกครองมากบ้างน้อยบ้าง โดยพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เจ้านายหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปครองเมืองพระยามหานคร ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง สันนิษฐานว่าผังเมืองพระยามหานคร ดังนี้
ทิศเหนือ ได้แก่ เมืองแพร่
ทิศใต้ ได้แก่ เมืองแพรก (สรรค์บุรี) เมืองสุพรรณภูมิ (อู่ทอง) เมืองราชบุรี
เมืองเพชรบุรี เมืองตะนาวศรี
ทิศตะวันออก ได้แก่ เมืองหล่ม เมืองเพชรบูรณ์ เมืองศรีเทพ เมืองเหล่านี้เป็นคนไทย
และพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้คนไทยไปปกครองทุกเมือง
4. เมืองประเทศราช (เมืองขึ้น) เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจนถึงชายพระราชอาณาเขต ซึ่งถูกรวมเข้ากับอาณาจักรสุโขทัย เพราะการสงคราม หรือยอมอ่อนน้อมเพื่อมาขอพึ่ง ความคุ้มครอง ชาวเมืองเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา ได้กำหนดให้เจ้าเมืองเดิมเป็นผู้ปกครองกันเอง มีอำนาจสิทธิ์ขาด ในการปกครองบ้านเมืองของตนเช่นเดิม แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมายังอาณาจักรสุโขทัยตามกำหนด 3 ปีต่อครั้ง และเมื่อมีศึกมาประชิดกรุงสุโขทัยเมืองประเทศราชต้องเกณฑ์ไพร่พลมาช่วย เมืองที่เป็นเมืองประเทศราช ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงสันนิษฐานว่ามี ดังนี้
ทิศใต้ ได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองมะละกา และเมืองยะโฮว์
ทิศตะวันตก ได้แก่ เมืองทะวาย เมืองเมาะตะมะ และเมืองหงสาวดี
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เมืองน่าน เมืองเซ่า (เมืองหลวงพระบาง)
เมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ
ทิศเหนือ ได้แก่ เมืองแพร่
ทิศใต้ ได้แก่ เมืองแพรก (สรรค์บุรี) เมืองสุพรรณภูมิ (อู่ทอง) เมืองราชบุรี
เมืองเพชรบุรี เมืองตะนาวศรี
ทิศตะวันออก ได้แก่ เมืองหล่ม เมืองเพชรบูรณ์ เมืองศรีเทพ เมืองเหล่านี้เป็นคนไทย
และพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้คนไทยไปปกครองทุกเมือง
4. เมืองประเทศราช (เมืองขึ้น) เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจนถึงชายพระราชอาณาเขต ซึ่งถูกรวมเข้ากับอาณาจักรสุโขทัย เพราะการสงคราม หรือยอมอ่อนน้อมเพื่อมาขอพึ่ง ความคุ้มครอง ชาวเมืองเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา ได้กำหนดให้เจ้าเมืองเดิมเป็นผู้ปกครองกันเอง มีอำนาจสิทธิ์ขาด ในการปกครองบ้านเมืองของตนเช่นเดิม แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมายังอาณาจักรสุโขทัยตามกำหนด 3 ปีต่อครั้ง และเมื่อมีศึกมาประชิดกรุงสุโขทัยเมืองประเทศราชต้องเกณฑ์ไพร่พลมาช่วย เมืองที่เป็นเมืองประเทศราช ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงสันนิษฐานว่ามี ดังนี้
ทิศใต้ ได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองมะละกา และเมืองยะโฮว์
ทิศตะวันตก ได้แก่ เมืองทะวาย เมืองเมาะตะมะ และเมืองหงสาวดี
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เมืองน่าน เมืองเซ่า (เมืองหลวงพระบาง)
เมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ
ระบบกฎหมายของอาณาจักรสุโขทัย
จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏพบว่า กฎหมายไทยมีมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง แห่งอาณาจักรสุโขทัย มีลักษณะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จารึกลงบนหลักศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหง
จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏพบว่า กฎหมายไทยมีมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง แห่งอาณาจักรสุโขทัย มีลักษณะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จารึกลงบนหลักศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหง
กฎหมายไทยในสมัยสุโขทัยเท่าที่ปรากฏในหลักศิลาจารึก มีดังนี้
1. กฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในการค้าขาย อาณาจักรสุโขทัยให้เสรีภาพในการค้าอย่างเต็มที่ ไม่มีการผูกขาดสินค้าแต่อย่างใด ดังปรากฏข้อความในหลักศิลาจารึกว่า “...เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า...”
2. การเก็บภาษีผ่านด่านภายในประเทศ อาณาจักรสุโขทัยไม่เก็บภาษีระหว่างทาง หรือภาษีผ่านด่าน ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะมีการเก็บภาษีประเภทนี้ เพราะถ้าไม่มีการเรียกเก็บเหตุใดจึงต้องมีข้อบัญญัติให้ยกเลิกหรืองดเว้น ดังปรากฏข้อความในหลักศิลาจารึกว่า “...เจ้าเมืองบ่อเอาจกอบ ในไพร่ลู่ทาง...”
3. กฎหมายมรดก ในสมัยโบราณเมื่อครั้งมนุษย์รวมกันเป็นหมู่เหล่าได้มีข้อบัญญัติว่า ผู้ใดก็ตามที่หาทรัพย์สินมาได้ให้ไว้เป็นส่วนรวม ไม่อาจตกทอดถึงลูกหลานได้ ข้อบัญญัตินี้มีข้อเสีย
ทำให้มนุษย์ขาดความกระตือรือร้นในการทำมาหากิน จะหาทรัพย์ให้พอกินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
เป็นเหตุให้เศรษฐกิจไม่รุ่งเรือง ไม่มั่นคง จึงได้ยกเลิกข้อบัญญัติดังกล่าว และทำให้เกิดธรรมเนียมประเพณีให้ลูกหลานสามารถรับมรดกของผู้ตายสืบต่อๆ กันมา ส่วนรายได้ของอาณาจักรใช้วิธีเก็บภาษีแทน
ทำให้มนุษย์ขาดความกระตือรือร้นในการทำมาหากิน จะหาทรัพย์ให้พอกินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
เป็นเหตุให้เศรษฐกิจไม่รุ่งเรือง ไม่มั่นคง จึงได้ยกเลิกข้อบัญญัติดังกล่าว และทำให้เกิดธรรมเนียมประเพณีให้ลูกหลานสามารถรับมรดกของผู้ตายสืบต่อๆ กันมา ส่วนรายได้ของอาณาจักรใช้วิธีเก็บภาษีแทน
4. กฎหมายว่าด้วยลักษณะตุลาการ ตุลาการในอาณาจักรสุโขทัยต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
4.1 ต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม โดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
4.2 ต้องไม่ยินดีอยากได้ของของผู้อื่น
5. กฎหมายระหว่างประเทศ ข้อความในหลักศิลาจารึกเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศปรากฏ ดังนี้
5.1 ถ้าเมืองใดมาอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น ก็จะให้ความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ ดังปรากฏในข้อความหลักศิลาจารึกว่า “...คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่วยเหลือเฟื้อกู้...”
5.2 ผู้ที่มาอ่อนน้อมไม่มีช้าง ม้า ผู้คนชายหญิง เงินทองก็ให้ช่วยเหลือไป ตั้งบ้านเมือง ดังปรากฏในข้อความหลักศิลาจารึกว่า “...มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงือนบ่มีทองให้แก่มัน ช่วยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง...”
5.3 อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง เมื่อมีชัยชนะแก่ข้าศึกหรือจับเชลยได้พระองค์ทรงพระกรุณาไม่ให้ลงโทษหรือไม่ให้ฆ่า ดังปรากฏในข้อความหลักศิลาจารึกว่า “...ได้ข้าเสือกข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี...”
6. กฎหมายว่าด้วยสิทธิในที่ดิน เป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองและรับรองสิทธิในทรัพย์สินมิให้ผู้ใดมาแย่งชิง
วิธีทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา
อาณาจักรสุโขทัย ไม่มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจาก พ่อขุนรามคำแหง ทรงแขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูวัง ราษฎรที่มีเรื่องทุกข์ร้อนก็สามารถไปสั่นกระดิ่ง พระองค์ทรงตัดสินคดีความโดยพระองค์เอง
อาณาจักรสุโขทัย ไม่มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจาก พ่อขุนรามคำแหง ทรงแขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูวัง ราษฎรที่มีเรื่องทุกข์ร้อนก็สามารถไปสั่นกระดิ่ง พระองค์ทรงตัดสินคดีความโดยพระองค์เอง
วิธีการพิจารณาความ
วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความของอาณาจักรสุโขทัยให้การตัดสินคดีความด้วย ความยุติธรรม มีความซื่อสัตย์ ให้การสอบสวนข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ก่อนตัดสิน
วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความของอาณาจักรสุโขทัยให้การตัดสินคดีความด้วย ความยุติธรรม มีความซื่อสัตย์ ให้การสอบสวนข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ก่อนตัดสิน
กระดิ่งร้องทุกข์ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
ที่มาภาพ นางมาลัยวรรณ จันทร
ที่มาภาพ นางมาลัยวรรณ จันทร
* ปิตุราชาธิปไตย มาจากการผสมคำระหว่างปิตุ (พ่อ) + ราช + อธิปไตย หมายความถึง การที่ราชาหรือองค์พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าของผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ในฐานะผู้ปกครอง ทั้งนี้ในการใช้อำนาจดังกล่าวพระมหากษัตริย์
ทรงปกครองราษฎรประดุจบิดาหรือพ่อกับลูก
*ทศพิธราชธรรม จริยาวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินควรประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์หรือคุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมืองมี 10 ประการ คือ ทาน ศีล บริจาค อาชวะ มัททวะ ตปะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ อวิโรธนะ
** จักรวรรดิวัตร 12 ประการ ประกอบด้วย 1) ควรอนุเคราะห์คนในราชสำนักและคนภายนอกให้มีความสุข
2) ควรผูกไมตรีกับแคว้นอื่น ๆ 3) ควรอนุเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์ 4) ควรเกื้อกูลพราหมณ์และภิกษุ 5) ควรอนุเคราะห์ประชาชนในชนบทและผู้ที่เดือดร้อนขัดสน 6) ควรอุปการะสมณพราหมณ์ผู้มีศีล 7) ควรจัดรักษาฝูงเนื้อ นกและสัตว์ทั้งหลายมิให้สูญพันธุ์ 8) ควรห้ามชนทั้งหลายมิให้ประพฤติผิดธรรมและชักนำให้อยู่ในกุศลจิต 9) ควรเลี้ยงดูคนจน เพื่อมิให้ประกอบการทุจริตเป็นภัยต่อสังคม 10) ควรเข้าใกล้สมณพราหมณ์เพื่อศึกษาบุญและบาป กุศลและอกุศลให้แจ้งชัด
11) ควรห้ามจิตมิให้ต้องการไปในที่ที่พระมหากษัตริย์ไม่ควรเสด็จ 12) ควรดับความโลภมิให้ปรารถนาลาภที่พระมหากษัตริย์มิควรจะได้
2) ควรผูกไมตรีกับแคว้นอื่น ๆ 3) ควรอนุเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์ 4) ควรเกื้อกูลพราหมณ์และภิกษุ 5) ควรอนุเคราะห์ประชาชนในชนบทและผู้ที่เดือดร้อนขัดสน 6) ควรอุปการะสมณพราหมณ์ผู้มีศีล 7) ควรจัดรักษาฝูงเนื้อ นกและสัตว์ทั้งหลายมิให้สูญพันธุ์ 8) ควรห้ามชนทั้งหลายมิให้ประพฤติผิดธรรมและชักนำให้อยู่ในกุศลจิต 9) ควรเลี้ยงดูคนจน เพื่อมิให้ประกอบการทุจริตเป็นภัยต่อสังคม 10) ควรเข้าใกล้สมณพราหมณ์เพื่อศึกษาบุญและบาป กุศลและอกุศลให้แจ้งชัด
11) ควรห้ามจิตมิให้ต้องการไปในที่ที่พระมหากษัตริย์ไม่ควรเสด็จ 12) ควรดับความโลภมิให้ปรารถนาลาภที่พระมหากษัตริย์มิควรจะได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น